วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เตือน!! คำทำนายน้ำท่วมโลก !!!

มีคำถามที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในปี 2551หลั่งไหลเข้ามาหาผู้เขียนค่อนข้างมาก หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เศร้าสลดเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547
อัน เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น ขยับตัว และซ้อนเกยกันบริเวณเหนือเกาะสุมาตรา ซึ่งอยู่ห่างจากประเทศไทยประมาณ 400 กิโลเมตร
มีอัตราการสั่นไหว 9 ริกเตอร์ เป็นเหตุให้ประเทศไทยได้รับความสูญเสีย โดยได้คร่าชีวิตผู้คนที่พักอยู่อาศัย และมาท่องเที่ยวใน 6 จังหวัดริมฝั่งทะเลอันดามัน
โดยพบศากศพมากกว่า 5,000 ศพ บาดเจ็บมากกว่า 10,000 คน และยังสูญหายอีกมากกว่า 3,000 คน โดยมีผู้คนของประเทศต่างๆอีกหลายประเทศ
ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล เมื่อนับจำนวนซากศพผู้ที่เสียชีวิตในคราวเกิดคลื่นยักษ์สึนามิครั้งนี้ ก็มีจำนวนมากกว่า 220,000 ศพ



เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปลายปี 2547 นี้ หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะเหตุการณ์ ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า “อภิมหามหันตวิปโยคสุดแสนโศกสลด” ทั้งนี้ เพราะจะมีผู้คนเสียชีวิตมากกว่า
เหตุการณ์ ช่วงปลายปี 2547 ประมาณ 1,000 เท่า



เหตุการณ์อะไรเล่า ที่ทำให้มีคนตายประมาณ 220 ล้านคน ในปี 2551 (ปลายปี 2547 เหตุจากคลื่นสึนามิได้คร่าชีวิตผู้คนไปหลายประเทศรวมกัน
มากกว่า 220,000 คน)เหตุการณ์ในปี 2551 หรือ ปี 2560 มิได้มาจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์เดียว แต่มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในปีเดียว
คือปี 2551 หรือ ปี 2560 ตลอดทั้งปี เสมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกถูกถล่มด้วยพระราหู ทั้งนี้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เปลือกโลกหลายแผ่นมีการ
ขยับเคลื่อนตัว และเกยทับกัน (การเกยทับกันเพียงเล็กน้อยของชั้นเปลือกโลก บริเวณเหนือเกาะสุมาตราเพียงจุดเดียว
เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นเหตุให้เกิดการไหวของแผ่นดินถึง 9 ริกเตอร์ ทำให้เกิดคลื่นยักษ์วิ่งไปถึงชายฝั่งอัฟริกา
ซึ่งมีระยะห่างกันหลายพัน กิโลเมตรได้) ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะมีการเกยทับกันทั้งในบริเวณใต้ทะเลลึก
และบริเวณที่เป็นพื้นแผ่นดินใน หลายทวีป ความรุนแรงมีขนาดตั้งแต่ 9.5 ริกเตอร์ขึ้นไป (ปกติถ้ามีการไหวของแผ่นดินเพียง 6.5 ริกเตอร์
ก็เป็นเหตุให้อาคารบ้าน เรือน ตึกรามอาคารบ้านช่อง ถนนหนทางถล่มทลาย สามารถสร้างความเสียหายได้แล้ว แต่ถ้าเกิดการไหวของเปลือกโลก
บริเวณใต้ทะเลลึก ประมาณ 7.5 ริกเตอร์ จะเกิดคลื่นสึนามิ (คลื่นยักษ์) ซึ่งในปี 2551 หรือ ปี 2560 จะมีการเกิดแผ่นดินไหว
ศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีขนาด 9.5 ริกเตอร์ขึ้นไป)



สำหรับ ในประเทศไทยเอง ผลกระทบจากการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะเกิดบนพื้นแผ่นดินประมาณ
3 – 4 จุด ซึ่งในทะเลก็มีทั้งบริเวณเหนือเกาะสุมาตรา และบริเวณใกล้เกาะบอร์เนีย และอีก 2 รอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลก
ซึ่งจะมีผลทำให้เขื่อนใหญ่ 2 เขื่อนแตก และ ตึกราม บ้านเรือน สะพานและถนนหนทางพังพินาศทลายลงเป็นจำนวนมาก



สำหรับจังหวัด ชายฝั่งทะเล ก็จะได้พบกับสึนามิ หรือคลื่นยักษ์อีกครั้ง ด้วยความรุนแรงของการเกยทับของแผ่นเปลือกโลกอีกครั้ง
ด้วยความแรงมากกว่า เดิม คือ ขนาด 9.5 ริกเตอร์ ขึ้นไป แม้ระบบเตือนภัยจะทำงานในอนาคต แต่ความเร็วของคลื่นสึนามิ
ใช้ความเร็วในทะเลประมาณ 500 กม./ ชั่วโมง นักวิชาการบางท่านบอกว่ามีความเร็วระหว่าง 600 – 800 กม./ ชั่วโมง
ผู้ คนจำนวนมากยังไม่ใส่ใจคำเตือน คนจำนวนมากหนีไม่รอด ศพตายเป็นเบือ โผล่ให้เห็นในน้ำยิ่งกว่าดอกเห็ด แม้จะได้ทราบคำเตือน
แต่ความประมาทของ ประชาชนที่ไม่ติดตามข่าวสารก็คงยากที่จะป้องกันความเสียหายชีวิตของผู้คนและ ทรัพย์สินที่อยู่ชายฝั่งทะเล ยกเว้นท่าน
ต้องร่นให้อยู่ห่างจากชายฝั่ง ทะเลให้มากหน่อย โดยมีต้นไม้ใหญ่เป็นกำแพงกั้น หรือภูเขาสูงบังไว้



สิ่ง สำคัญที่ทุกคนที่อยู่ริมฝั่งทะเลต้องรับทราบ คือ เมื่อใดมีเหตุการณ์ขึ้นลงของน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว ต้องรีบหนี 2 วิธี คือ
วิ่ง เรือออกสู่กลางทะเลลึก ถ้าขณะนั้นอยู่บนเรือในทะเล ห้ามกลับเข้าชายฝั่งทะเลเป็นอันขาด อีกวิธี คือให้วิ่ง หรือขับรถขึ้นที่สูงที่มีความมั่นคง
แข็งแรงโดยเร็ว ดังนั้น เมื่อใดที่อยู่บริเวณชายทะเลในปี 2551 หรือ ปี 2560 กรุณามองทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้าก็มีส่วนช่วยให้
อยู่รอดปลอดภัยได้ใน ระดับหนึ่ง



เป็นแผนที่จำลอง แผนที่โลกในอีก 50 ล้านปีข้างหน้า คำนวณโดยซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/947/11947/images/ppiixx.jpg



โดย พิจารณาจากการเคลื่อนที่ของเปลิอกโลก การหายไปของขั้วโลกเหนือ

และ การผ่านยุคน้ำแข็งอีกประมาณ 2 ครั้ง
ความคิดเห็นส่วนตัว : เรื่องน้ำท่วมโลกนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเราลองดูจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นล้วนรุนแรงขึ้น
และทำให้เกิด ความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เช่น การเกิดสึนามิ การเกิดแผ่นดินไหว น้ำแข็งทั่วโลกละลาย และอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นเราควรที่จะช่วยกัน
รักษ์ ธรรมชาติถึงแม้ว่ามันจะแก้ปัญหาไม่ได้แต่ก็คงช่วยลดผลที่จะเกิดขึ้นได้บ้าง

http://www.facebook.com/note.php?note_id=199840703379585#!/note.php?note_id=118704018159921

การเตรียมตัวรับมือภัย ธรรมชาติครั้งใหญ่

การเตรียมตัวรับมือภัย ธรรมชาติครั้งใหญ่


*การเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่*

1.ก่อนการเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ 15 วัน โลกจะเอียงก้มหัวให้
ดวงอาทิตย์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือละลายจะนำไปสู่
คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่แผ่นดิน (ปัจจุบันเกิดขึ้นแล้ว )
2.เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่เป็นเวลา 49 วันในระหว่างเดือน ตุลาคม
พฤศจิกายน
3.ฝนตกครั้งใหญ่ทั่วโลก ( ระยะชำระล้างเป็นเวลา 7 วัน )
- ระยะเวลาเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงของโลกรวมแล้วมีระยะเวลา
ทั้งสิ้น 56 วัน
- ใน 3 วันแรก จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ที่ทวิปเอเชีย ในประเทศที่เป็น
อริต่อกัน

*ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้*

1. เกิดน้ำท่วมครั้งใหม่
2. พายุถล่ม
3. แผ่นดินแยกและแผ่นดินไหว
4. ภูเขาไฟระเบิด ( จังหวัดทางภาคกลาง 2 ลูก,ภาคเหนือตอนล่าง
3 ลูก อีกทั้งที่จังหวัดราชบุรี น่าน แพร่ อ.ร้อยกวาง
5.คลื่นยักษ์จากทะเล
6.โรคระบาดที่สุดจะเยียวยา ได้แก่ VIRUSTERIA,อหิวาตกโรคสาย
พันธ์ใหม่ ผู้ได้รับเชื้อจะเสียชีวิตทันทีภายใน 6 วัน
7.คลื่นเสียงที่รุนแรง ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตยังไม่เคยได้ยินเสียงที่ดัง
ขนาดนั้นมาก่อน
8.อดยากขาดแคลนอาหาร

*การเตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว*

1.เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3-6 เดือน
2.เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ได้แก่ เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำ
ร้อน ผ้าห่มฯลฯเพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
3.เครื่องใช้ที่จำเป็น
4.ที่อยู่อาศัย
5.ยารักษาโรค
6.ด่างทับทิมและคาราไมล์ (จำเป็นมาก)ห้ามกินอาหารที่ไม่ได้ล้าง
ด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี ส่วนคาราไมล์จะมีไว้
รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะ
หายได้อย่างอัศจรรย์
7.ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ
8.เครื่องช่วยชีวิต
9.แสงสว่าง เช่น เทียน ตะเกียงพายุ(เวลานั้นท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน
เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
10.เตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

*การดูแลชีวิตในช่วงเวลาวิกฤติ*

1.ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็จขาด ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้าเปิดไม่
ว่าคนนั้นจะเป็นญาติสนิทหรือคนที่เรารู้จักก็ตาม เพราะบางทีเขาอาจตายไปแล้ว
2.ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรคและสารเคมีที่มนุษย์สร้าง
ขึ้น
3.ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆแต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องใช้ด่างทับทิม ล้าง
ทุกครั้ง
4.ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น เพราะช่วงเวลานั้นประตูมิติของโลกทั้ง
สามจะถูกเปิดเป็นครั้งแรก ผู้ไม่เชื่อเรื่องผีสาง จิตวิญญาณ ก็จะได้เห็น คน
ที่มาเยือนอาจเป็นผีเปรต ผีโขมด ที่เจ้ากรรมนายเวรของเราจำแลงมาก็
เป็นได้และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดยเด็จขาด
5.ห้ามกินเนื้อ!ทุกชนิด
6.ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม
7.ฝึกการกินน้อย ถ่ายน้อย
8.ระวังอากาศที่หนาวเย็น
9.ระวัง!ร้าย !มีพิษ เช่น งูพิษ จระเข้
10.ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 3 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 3 ชั้น จะพังทลายราบ
เป็นหน้ากลอง

*การเตรียมจิตวิญญาณ*

1.ชำระกรรมให้บางเบาโดย หยุดโลภ โกรธหลง ทำจิตใจให้สงบเบิก
บานเพราะวันนั้นจะมีผู้ที่เส้นโลหิตในสมองแตก เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
เพราะเสียงที่ดังกึกก้องไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้แตก ดังนั้นต้องปล่อย
วาง ทำจิตให้เป็นบอก จะช่วยได้มาก
2.สำนึกทางจิตวิญญาณ
3.ฝึกการละวาง
4.มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
5.ฝึกการทำโฆษกรรม ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวร หรือผู้ที่เราล่วง
ละเมิด

*การดูแลแก่นแท้ยามมีภัย*

1.ได้ยินเสียงใด ให้ละวางเสียงนั้น รู้เห็นสิ่งใด ให้ละวางสิ่งนั้น ต้อง
ไม่รับรู้ ไม่รับเห็น ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงคนข้างบ้านร้องเพราะกำลัง
จะตาย หรือ ได้ยินเสียงใดที่น่าหวาดกลัวต้องได้ยินแล้วผ่านเลยไป หากละ
วางไม่ได้จะเกิดอาการ ‘‘ ตายก่อนตาย ’’ (ว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ หรือการ
ตายทั้งเป็น)
2.ยอมรับให้ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีสติตลอดเวลา
3.อย่าอยู่นิ่งเฉย เพราะจะทำให้กลัวมากขึ้น ควรหากิจกรรมทำเช่น
อ่านหนังสือธรรมะ เพื่อให้จิตเป็นบวกเกิดการอิ่มเอิบ
4.สังเกตธรรมชาติก่อนนาทีวิกฤติจะเกิดขึ้น
ลางบอกเหตุก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่(ระยะ2)
ท้องฟ้ามืดผิดปกติ ใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงาย แลดูหดหู่ !
ทั้งหลายจะไม่ปรากฏกายให้เห็น แต่ถ้ามี!เลี้ยงอยู่ในบ้านจะเห็นมันวิ่ง
ลุกลี้ลุกลนผิดปกติ หรือบางตัวจะนอนนิ่งน้ำตาซึม

*รายละเอียดของมหันตภัยที่จะเกิดขึ้น*

สถานที่แห่งแรกในประเทศไทยที่จะได้เผชิญกับลาวาร้อนจากไฟใต้
โลกจะเกิดขึ้นจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดแรกในภาคอีสานตาม
รอยต่อของจังหวัดที่ติดกันเป็นแนวยาวเริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นแนวแยกของ
แผ่นดินคนเคี้ยวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ธารโลหะร้อนจะไหลลามแผ่
ออกไปเป็นบริเวณกว้างข้ามวันข้ามคืนติดต่อกัน จากนั้นพายุที่รุนแรงจะนำน้ำ
มาดับไฟก่อให้เกิดน้ำท่วมและโรคร้ายแรงที่จะระบาดอย่างรุนแรงจนสุดที่จะ
เยียวยาได้โดยเฉพาะอหิวาตกโรคสายพันธ์ใหม่ที่มนุษย์เชื่อว่าได้กำจัดจน หมด
ไปจากโลกนี้แล้ว แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังฟักตัวและจะมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าเดิม ซึ่ง
สามารถคร่าชีวิตผู้รับเชื้อไดในเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น
ท้องฟ้ามืดมิด ฝนจะตกหนักทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง น้ำจะเอ่อขึ้น
เรื่อยๆจนเข้าท่วมแผ่นดินในหลายๆพื้นที่ พายุไซโคลน จะพัดกระหน่ำและ
จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 160 กม/ชั่วโมง พัดผ่านกรุงเทพผ่าน
แม่น้ำเจ้าพระยา ตึกแห่งหนึ่งริมน้ำเจ้าพระยาที่อยู่ใกล้กับสะพานกลางเก่า
กลางใหม่ย่านฝั่งธนบุรีจะพังทลายลงมาจากการโหมกระหน่ำและความบ้า
คลั่งของลมพายุ มีผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 600 คน ในเวลาหลัง
จากนั้นไม่นานนัก ตึกสีขาวที่อยู่ริมน้ำฝั่งตรงข้ามจะพังทลายตามลงมา
ยอดตึกที่พังทลายจะแลเห็นโผล่เหนือน้ำให้เห็นเป็นอนุสรณ์ของคราบน้ำตา
หลังคาบ้านเรือนบริเวณใกล้เคียงจะปลิวว่อนเสาไฟฟ้าจะล้มระเนระนาด
ด้วยความรนแรงของลมพายุผนังตึกส่วนหนึ่งจะรูดลงมากองกับพื้น ลมพายุ
ที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงจะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนในบริเวณ
ใกล้เคียงอย่างเหลือคณานับ
เทือกเข้าตะนาวศรีในจังหวัดราชบุรี จะพังทลายลงมาเนื่องจาก
แผ่นดินไหวที่รุนแรงซึ่งจะเปิดเผยให้เห็นถึงภูเขาไฟที่ซุกซ่อนอยู่ หลังจาก
นั้นไม่นานภูเขาไฟลูกแรกในประเทศไทยจะระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงเสียงดัง
กึกก้องกัมปนาทดังมาถึงกรุงเทพ ธารลาวาจะไหลลงไปยังฝั่งพม่า ไม่นาน
นัก ระเบิดลูกที่สองและลูกที่สามก็ตามมา ลูกที่สี่จะมีความรุนแรงอย่างถึง
ที่สุด ซึ่งจะสร้างความอำมหิตให้กับภาคเหนือและภาคอีสานต่อไป
ทุกจังหวัดในประเทศไทยต่างก็ได้รับความบอบช้ำด้วยกันทั้งสิ้นจะ
มากน้อยต่างกันไป บริเวณใดที่มีผู้คนที่มีศีลธรรมอาศัยอยู่อาจได้รับการ
ปกป้อง บรรเทาภัยพิบัติให้เบาบางลงไปได้บ้าง...
ข้อมูลทุกอย่างที่กล่าวมานี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ระดับความรุนแรง
จะไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน ดังเช่นภูเขาไฟที่กล่าวว่าจะเกิดในสถานที่หลาย
แห่งนั้น อาจเกิดระเบิดกึกก้อง
กัมปนาทรวมกัน ในสถานที่แห่งเดียวกันแต่จะมีความรุนแรงมากกว่าปกติ
กล่าวคือ อาจมีลาวาจะพุ่งสู่ท้องฟ้าสูงเป็นพิเศษถึง 6 กิโลเมตร เป็นต้น
เหตุการณ์ต่างๆที่กล่าวมานั้นจะมีอยู่วันหนึ่งที่เหตุการณ์รุนแรงที่สุด
คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลกเป็นพลังงานที่เกิดจาก
ลมพายุสุริยะอันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่11 มนุษย์ทุกคนบน
โลก จะได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว บรรยากาศช่วงแรกๆจะรู้สึกหด
หู่เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกลหลังจากนั้นไม่นานนัก ลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น
เสียงฟ้าเสียงลมจะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงที่ดัง
ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เป็นเสียงของพญามัจจุราชที่พิพากษาโลกในด้าน
ความเป็นมนุษย์คนชั่วทุกคนจะถูกประหารชีวิตและจะตายอย่างทรมาน ไม่
เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำลัทธิ ฯลฯ ส่วนคนดีจะได้รับการ
ยกเว้นเอาไว้ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไป
ปลายปีพ.ศ.2548 นี้ จะเริ่มเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะ
ส่งผลให้มีคนตายมหาศาล ส่วนผู้ที่รักษาศีล5ขึ้นไปจะรอดและต่อไปนี้น้ำจะท่วมภาคใต้ และจะร้ายแรงกว่าสึนามิหลายเท่า ผู้คนที่รอด
ชีวิตจำต้องเดินทางขึ้นเหนือเพื่อให้พ้นภัยโดยระหว่างทางจะพบกับคนนอน
ตายเกลื่อนกลาดจำนวนมาก
วิกฤตการณ์เลวรายหน้าหวาดหวั่นจะบังเกิดขึ้นทั่วโลกความ
หวาดกลัวไม่จำเป็นต้องรับรู้ผ่านหน้าจอทีวี เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลก จะ
ได้รับรู้รสชาติแห่งความกลัวตายกันทุกคน
มนุษย์ที่รอดชีวิตไปได้ จะเข้าสู่ยุคใหม่ จะมีจิตใจที่ดีงามและมีอายุขัย
ที่ยาวจนหน้าประหลาดใจ มีอารบธรรมเจริญก้าวหน้า โดยที่ไม่ได้สร้างเทค
โนโลยีที่ก่อปัญหาให้กับโลกไทยและลาวอาจรวมประเทศภายใต้กษัตริย์ไทยในปี จอนี้ ขึ้น 4 ค่ำ ผู้มีบุญจะลงมาเกิด

หนังสือพยายมของครูบาอินต๊ะวิชัยผ้าขาวปี๋วัดกลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม
พร้อมหนังสือใบลานฉบับนี้ ถ้าไม่มีอยู่ในบ้านเรือนบ้านช่องของผู้ใด จะมี
พวกผีปีศาจร้ายเข้าทำลายอย่างแน่แท้ ในปีจอต่อปีกุลยามเดือนหงาย จะเกิด
มีงูพิษอยู่บนหัวกัดฉกให้ตาย และฝูงชนทั้งหลายจะเกิดเดือดร้อนหลาย
ประการ เช่น
- ทุกข์ยากเดือดร้อน เพราะศึกสงครามบ่แล้ว ทุกข์ยากร้อน เพราะมีคนตาย
ตามทุ่งไร่ ทุ่งนา
- ทุกข์ยากร้อน เพราะน้ำและไฟ ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีผู้เฒ่า
- ทุกข์ยากร้อน เพราะไม่มีใครจะดูใคร ทุกข์ยากร้อน เพราะไป
ต่างประเทศไม่สะดวก
- ทุกข์ยากร้อน เพราะอดข้างปลาอาหาร
- ทุกข์ยากร้อนเพราะนอนไม่หลับ
- ทุกข์ยากร้อน เพราะผัวเมียไม่เห็นหน้ากัน
ในปีจอนี้เมืองเวียงจันทร์ จะมีองค์ฤาษีทองคำสิกขาลาบวชออกมา
เป็นพ่อค้า ในปีจอ ขึ้น 8ค่ำ ห้ามไม่ให้ใครตักน้ำ อาบน้ำ กินน้ำ ตามห้วย
หนองคลองบึง หลังพระอาทิตย์ตกดิน (ก่อนมืดค่ำ)พญายมราชจะนำเอายา
พิษมาพ่นมาใส่โลกมนุษย์
ในปีจอ เมืองกรุงเทพฯ จะแตกพังทลายตอนเวลาไก่ขัน พระแก้ว
มรกตหัวเมืองเชียงใหม่เม็ดข้าวใหญ่ จะได้กลับคืนสู่เมืองเวียงจันทร์
นี่คือพระคาถาขององค์อินทร์ พรหม ยมราช ได้เขียนลงในใบลาน
จงรักษาเก็บไว้ให้ดีเพื่อช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ ในยามเกิดเหตุการณ์
มหันตภัย พระคาถาได้เขียนไว้ดังนี้
‘‘ ปะโต เมตัง ปะละชิมินัง สุขะโต จุติ
เมตตะ นินะนัง สุขะโต จุติ ’’
พระคาถาข้อนี้จะเขียนลงใส่ใบลานแผ่นทอง หรือแผ่นผ้าก็ดีให้ติดไว้
บนประตูห้องเรียนหนือรถราพาหนะ หรือพันหัวไว้ในยามเกิดเหตุการณ์จะ
ช่วยให้รอดพ้นภัยอันตราย ในกาละเวลานี้เทพเจ้าเหล่าเทวดาผู้ที่คุ้มครอง
รักษาเหล่ามนุษย์โลก ได้ไปกราบทูลต่อพระอินทร์ว่า มนุษย์โลกทำกุศลผล
บุญ (ความดี) เพียง 3 ส่วน และทำบาปกรรม (ความชั่วร้าย) ถึง 10 ส่วน
เมื่อเป็นเช่นนี้พระอินทร์จะได้ลงโทษกับมนุษย์โลกถึง 9 ข้อ นับตั้งแต่ปีจอ
ถึงปีกุน คือ
- จะให้เกิดพายุลงแรง
- จะให้เกิดสารพิษต่างๆ (อากาศ – อาหารเป็นพิษ)
- จะให้เกิดไฟไหม้ (อัคคีภัย)
- จะให้เกิดกาฬโรคต่างๆ (พยาธิร้าย)
- จะให้เกิดน้ำท่วม (อุทกภัย)
- จะให้เกิดอดข้าว ปลา อาหาร
- จะให้เกิดฟ้าผ่า
- จะให้เกิดอาฆาตฆ่าฟันกันเอง สำหรับคนใจบาป
- จะให้เกิดร้อนมากหนาวมาก
มหันตภัยทั้ง 9 อย่างนี้ จะรอดพ้นเฉพาะคนใจบุญ คนที่ปฏิบัติตามคำ
พร้อมสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น รู้แล้วจกบอกต่อกันไปให้รีบเร่งทำแต่
ความดีมากกว่าทำบาปกรรมชั่วร้าย ถ้าผ่านปีจอ ปีกุลไปแล้ว ทุกคน
ลูกหลาน เหลน จะได้รับความสุขสบายกันทั่วหน้า (เวลาเหลือน้อย) ให้
ทุกคนเคร่งครัดถือศีล 5 ข้อ ให้ขยันไหว้พระ ภาวนา ให้ทาน เพื่อการกุศล
อย่างต่อเนื่อง ศีล 5 ข้อ ได้แก่
1.ห้ามเบียดเบียนสิ่งมีชีวิต(ทุกชีวิตใครก็รัก)
2.ห้ามลักหรือขโมยเอาสิ่งของผู้อื่นมาเป็นของตน
3.ห้ามล่วงเกิน เป็นชู้ผู้อื่น เมีย ผัว คนที่มีเจ้าของ
4.ห้ามพูดปดหลอกลวงคนอื่นในทางที่ไม่ดีซึ่งเป็นเหตุให้เกิด
ความแตกแยกสามัคคีหรือสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง
5.ห้ามดื่มหรือเสพของมึนเมาทั้งหลายทั้งปวง
นอกจากหนังสืออินทร์ตกที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีพระผู้ทรงศีลองค์
หนึ่ง ได้เห็นเนื้อในอักษรธรรม เขียนจารึกไว้บนก้อนหินศิลาที่พึ่งพ้น
จากพื้นดิน ในภูผาดงแห่งหนึ่งที่พระรูปนี้ได้เดินธุดงค์ วิปัสนากรรมฐาน
ผ่านไป ไม่ขอบอกนามพระและกำหนดสถานที่อย่างแจ้งได้ เพราะได้สอบ
หาข้อมูลละเอียดแล้ว พระผู้ทรงศีลกล่าวว่า ‘‘ โยมเอ๋ย...ถ้าไม่เชื่อก็สุด
แล้วแต่ดวงจิต เพราะถึงเวลาแล้วที่สวรรค์จะไม่มีความลับ ถ้าโยมเชื่อก็เป็น
กุศล ถ้าไม่เชื่อก็เป็นอกุศล ’’ รู้เพียงเท่านั้น จึงขอบอกเล่าสู่ท่านฟังตามคำ
กล่าวของ พระผู้ทรงศีลรูปนี้ว่าในปีระกา– ปีจอและกุล
เดือน 7-8 จะเกิดเหตุร้ายแรงตามถนนหนทาง
เดือน 9-10 คนใจบาปหยาบช้าจะถูกล้างผลาญให้หมด
- มีบ้านก็ไม่มีคนอยู่
- มีข้าวก็ไม่มีคนกิน
- มีทาง ก็ไม่มีคนเดิน
สุดท้ายพระผู้ทรงศีลยังได้กล่าวเน้นมาถึงความศักดิ์สิทธิ์ดังหนังสือ
‘‘ อินทร์ตก ’’ ‘‘ อินทร์ตื่น ’’
ถ้าท่านผู้ใดเชื่อ ศรัทธา บูชา เคารพกราบไหว้หรือบนบานว่าจะ
บอกเล่าถึงผู้อื่นหรือลงพิมพ์แจกให้สาธุชน คนทั้งหลายรับรู้ด้วยแล้ว ท่าน
จะปราถนาสิ่งใดจะได้ดังใจนึก พยาธิที่เบียดเบียนก็จะหายขาด...


อ้างอิง::หนังสือพุทธพยากร์ทำนายโลก

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ (พระอรหันต์จี้กง)

*สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ* (พระอรหันต์จี้กง)

ข้อมูล เกี่ยวกับเรื่องที่จะได้นำมาให้อ่านต่อไปนี้ ได้มาจากหนังสือเรื่อง “ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ ” ซึ่งท่านผู้ใช้นามปากกาว่า “ศุภนิมิต”
ได้เรียบเรียงจากต้นฉบับที่เป็นภาษาจีนอีกทีหนึ่ง สาระของเรื่องได้ถ่ายทอดจากการรับรู้ของเด็กหญิงผู้วิเศษชื่อ “เทียนไฉ” ที่ประเทศมาเลเซีย
โดยการประทับทรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และจากการถอดจิตขึ้นไปสู่โลกเบื้องบนไปรู้ไปเห็นมาหลายครั้งหลายหนของเธอดัง นี้

เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า (คือภัยพิบัติจะเกิด 7 ราตรี และ 1 ราตรี เท่ากับ 7 วัน รวมระยะเวลาทั้งหมดคือ 49 วัน) วันที่ฟ้าดินมืดมิด

1. ก่อนหน้า “ เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า ” วันฟ้าดินมืดมิดสองสามวัน บรรยาการของโลกดูสงบเงียบไปทั่ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเงียบสงัด
ก่อน พายุฝนจะกระหน่ำมักเป็นความเงียบที่น่ากลัวเสมอ แล้วทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนจากสีฟ้าสว่างเป็นแดงฉานและกลายเป็นสีเทาขาว
จน กระทั่งมืดมิดลง ลมมหาประลัยทำลายสิ่งปลูกสร้าง คน และ สัตว์ทั้งหมดให้กลายเป็นจุณมหาจุณในพริบตา

2. โลกทั้งโลกตกอยู่ในความืดมิด จนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟใดๆ ทั้งสิ้น พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องมือวิทยาศาสตร์ทุกอย่าง
ใช้การไม่ได้ผล ต่อจากนั้นก็เกิดพายุและลมฝน เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดไม่ขาดสาย ห่าฝนเมฆสีแดงจะเทลงมาจากฟากฟ้า โลกจะตกอยู่ใน
ความมืดมิดของรัตติกาล นานถึงสี่สิบเก้าวัน

3. มีเพียงโคมไฟสามดวงในพุทธสถานเท่านั้นที่ให้แสงสว่างได้ รอบนอกสถานธรรม ได้ถูกห่อหุ้มปกป้องด้วยรัศมีสีม่วงโดยทั่ว เมื่อนั้นคนที่บำเพ็ญ
โดยแท้ จริง และคนดีที่ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรม ก็จะได้รับการดลใจ ชักนำให้เข้ามาหลบภัยในพุทธสถาน ในที่นั้น หากมีธรรมอธิการผู้อาวุโส
(เฉียน เหยิน) หรืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรมอยู่ด้วยก็อาจจะช่วยชี้ธรรมให้คนเหล่านั้น คนที่มีกุศลบารมีสูงก็จะรู้แจ้งในทันที และนั่นอาจจะเป็นแสงอาทิตย์
ลำ สุดท้ายที่จะโปรดสัตว์ในธรรมกาลยุคขาวก็ว่าได้ คนที่ไม่เคยร่วมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดมาก่อนเลย เกรงว่าจะต้องตายด้วยภัยพิบัติทันทีเลยทีเดียว
ถึงแม้จะรอดพ้นไปได้แต่ วิถีอนุตตรธรรมก็สิ้นสุดวาระการถ่ายทอดเสียแล้ว

4. ส่งเสริมให้ญาติธรรมทั้งหลาย สร้างพุทธสถานกันให้มาก ๆ แม้จะมีไว้เพียงเพื่อตนเองจะได้กราบไหว้เช้าเย็นก็ยังดี เพื่อให้ทุกบ้านเป็นสถานแห่งพุทธ
สมดังพุทธปณิธานโดยเร็ว เมื่อถึง “วันสุดท้ายฯ” พุทธสถานจะได้เป็นที่หลบภัยของสาธารณชนให้มาก ๆ เพราะพุทธสถานจะเป็นเสมือน “เมืองในม่านเมฆ”
สำหรับผู้ใฝ่ธรรม

5. สภาพโลกภายนอกของพุทธสถาน คือ ภูเขาถล่ม แผ่นดินแยก เจ้ากรรมนายเวรของคนทั้งหลายที่เป็นหนี้ติดค้างกันมาถึงหกหมื่นปีมาแล้ว จะลุกฮือกัน
ออกมาเอาชีวิต วิญญาณทวงหนี้กัน แม้ผู้คนจะพ้นจากมหันตภัย แต่ก็อาจต้องตายด้วยเจ้ากรรมนายเวร สภาพนั้นจึงเป็นมหาโหด มหาวิปโยค เสียงร่ำไห้กู่ร้อง
ครวญคราง เสียงผีสาง เทพพรหม ระงมก้องไปทั่วเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก

6. เหล่าภูตสางนางไม้ในป่าเขาในบาดาล เหล่าพญามารอสูรทั้งหลายก็จะแปลงกายเป็นพระศรีอาริย์ เป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิ์สัตว์กวนอิม เป็นพระอาจารย์จี้กง
หรือพระอริย เจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย สำแดงอิทธิปาฎิหาริย์ เรียกลมเรียกฝนเสกหว่านเมล็ดถั่วให้กลายเป็นกองทัพ ฯลฯ จะอวดอ้างศักดานุภาพว่าจะสามารถพา
ผู้คนให้พ้นจากลมมหาประลัย มุ่งคืนไปยังสุทธาวาสเบื้องบนได้

สิ่งเหล่านี้มีมาเพื่อหลอกล่อผู้ ปฎิบัติธรรมโดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลานั้น ให้เราทั้งหลายจงตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาจิตอย่างเช่นเดิม อย่าได้โลภ หลงตามไปเป็นอันขาด
พอขยับใจไขว้เขวแม้เพียงขณะจิตหลงติดตามไป บุญกุศลที่สร้างมาก็จะหมดไป ดังคำที่ว่า “ ใกล้จะบรรลุธรรมยามเที่ยง แต่มาเพลี่ยงพล้ำเสียก่อนเมื่อตอนสาย ”
จะขึ้นหรือลงจึงอยู่ที่หัว เลี้ยวหัวต่อตรงนี้ ที่แอบอ้างว่าเป็นพระบรรพธรรมาจารย์ มาเก็บงานธรรมอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงมารเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่น่าแปลก

ต่อ เมื่อวันที่มหันตภัยเกิดขึ้นแล้วนั่นแหละจะน่ากลัว เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงพระองค์ต่างมุ่งอยู่แต่งาน ช่วยคนให้พ้นจากภัยพิบัติไม่มีเวลาจะมาแสดงอิทธิ
ปาฎิหาริย์ล่อใจใครให้ กราบไหว้ได้เช่นนั้น พระพุทธะตรัสไว้ว่า “ แรงแห่งมารหาญกล้ากว่าพุทธะ ” พระอาจารย์จี้กงก็กล่าวว่า “ พระอาจารย์ปลอมมีอิทธิปาฎิหาริย์
แกร่งกล้า กว่า พระอาจารย์จริงเสียอีก หวังว่าหญิงชายทั้งหลายจะได้ร่วมกันบำเพ็ญธรรม อย่าลืม อย่าลืม คนที่บำเพ็ญด้วยความจริงใจ เมื่อถึงเวลานั้นหากจะสงบ
ใจ พิจารณาด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือปลอม” จะเห็นใบหน้าสีเขียวเขี้ยวโง้งของปีศาจในร่างของพุทธะได้โดยไม่ต้องเทียบ เคียง

7. วันที่ทรมานที่สุด จะมีสองช่วงคือ ช่วงที่หนึ่ง วันที่ 24, 25, 26, ของช่วง “เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน” เพราช่วงนั้นอาหารที่สะสมไว้จะหมด คนที่กินเจจะยังอดทนต่อ
ความหนาวเหน็บ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะทรมานมาก ช่วงที่สอง ช่วงนี้จะอยู่ระหว่างวันที่ 50 ถึง 70 เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายจะถูกเคลือบด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสี
ซาก ศพเกลื่อนกลาด คนเคราะห์ดีที่ยังมีชีวิตอยู่จะยังต้องทำหน้าที่ฝังศพ คนที่กินเจจะมีกำลังอยู่ได้ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหลาย จึงได้ประทานพระโอวาทคำเตือนไว้นานมาแล้วว่า “ หลังจากมหันตภัยกวาดล้างโลกนี้กลายสภาพเป็นตมไปแล้ว จะเหลือแต่พระอรหันต์เดินดินไม่กินเนื้อสัตว์ ”
เป็นคำเตือนที่ชัดเจน แน่นอนที่สุดทีเดียว

8. หลังการกวาดล้างแล้ว ก็จะเป็นการสร้างบ้านเมืองใหม่ มนุษย์จะเริ่มเบิกดิถี ด้วยอารยธรรมใหม่ นั่นคือมีคุณธรรมและมีคุณสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อจดจำบทเรียนที่ได้รับ
จาก ภัยพิบัติ ปรัชญาความคิดของท่านบรมครูขงจื้อและเมิ่งจื้อ จะเป็นที่เทิดทูนศรัทธาทั่วโลก ความจริงใจรักใคร่ช่วยเหลื่อซึ่งกันและกัน จะเป็นปฎิญญาที่ทุกคนรักษาไว้ร่วมกัน

9. พระศรีอาริยเมตไตรย จะเสด็จสู่โลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในศุภวาระนี้ จะทรงเปิดเผยให้เห็นฉากสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์ ของพระอรหันต์แห่งธรรมกาลยุคขาวนี้ จะทรงประทาน
อริยฐานะตามลำดับมรรคผล บุญกุศล จากนี้โลกแห่งสันติสุขเยี่ยงสมัยพระเจ้า “เหย่าซุ่น” หรือโลกพระศรีอาริย์ก็ได้เบิกวิถี ณ บัดนี้



*สถานที่เกิด เหตุมหันตภัย*
วันที่ 30 มกราคม เวลาเช้า 9.00 น. อันเป็นเวลาฝึกสมาธิ ดรุณีน้อยเอี้ยนอี๋ (เทียนไฉ) ก็ได้ถอดจิตติดตามพระอาจารย์จี้กง ไปดูสถานที่เกิดเหตุมหันตภัยต่อไปดังนี้

ขณะนั้น ลมมหาประลัย โหมมาทั้งสี่ทิศพร้อมกันตึกใหญ่ ๆ ที่ยังมิได้พังทลายทั้งหมด ท่ามกลางแรงระเบิดและแสงไฟโชติช่วงได้พังคลืนลงมาทั้งหมด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่ต้นไม้
ขนาดสิบคนโอบรอบ ก็ถอนรากถอนโคน ล้มระเนระนาด ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาล้วนเป็นสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก แล้วเธอก็ได้เห็นหมู่บ้านใหม่แห่งหนึ่ง

ตรงกลางเป็นพุทธสถาน
บ้าน เรือนที่อยู่ในรัศมีโดยรอบหลายร้อยเมตร ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเรืองรอง ผู้คนที่อยู่ในพุทธสถานและภายใต้การห่อหุ้มของแสงสีม่วงพ้นภัยโดยทั่วกัน

ส่วน ที่อยู่ห่างไกลออกไป
แต่เป็นคนที่มีจิตใจดี ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลใจให้เขาวิ่งเข้ามาหลบภัยในพุทธสถานด้วย โลกภายนอกมืดมิดไปทั่ว ไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าหรือดวงไฟจากสิ่งใดเลย สายฟ้าแลบพร้อมกับฟ้าคะนอง หยดน้ำสีแดง ๆ เหมือนสายฝน แต่มิใช่ โกรกลงมาจากฟ้าแต่ละหยดมีน้ำหนัก
เหมือนเศษแก้ว กลิ่นเหม็นเอียนจัด เหมือนยาพิษร้ายแรง มันทะลุผ่านอิฐ หิน ปูน เหล็กกล้าและทุกอย่างแต่ที่น่าอัศจรรย์คือ เมื่อมันหยดลงมาบนรัศมีครอบที่เป็นสีม่วง มันจะสลายตัวหายไป
จนหมดสิ้น ในตำหนักพระมีพระพุทธประทีป 3 ดวง บนแท่นบูชาสาดส่องประกายไฟอยู่สว่างไสว

ไม่ นานต่อมาเธอก็ได้เห็นพื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกใหญ่ทั่วไป ผีนรกทั้งหลายกรูกันออกมาจากรอยแยกเหล่านั้น ทุกคนดูกระเหี้ยนกระหือรือ พอเห็นศัตรูคู่อาฆาตลูกหนี้ในชาติก่อนของเขาก็
ฉุดกระชากตัวลงไป ในร่องลึกใต้ดินโดยทันทีโดยไม่มีการพูดจาต่อรองใด ๆ เป็นภาวะที่ผีคร่ำครวญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ำร้องโดยแท้สยองขวัญยิ่งนัก พระอาจารย์จี้กงบอกหนูเอี้ยนอี่ว่า นั่นคือการ
หักล้างบัญชีครั้งใหญ่ ในรอบหกหมื่นปีที่ผ่านมา

ทันใดนั้น เธอก็เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเหมือนกัน แผ่รัศมีรอบวงค่อนข้างมัวหมองเหมือนถ้ำ และเหมือนบ้านเก่า ภายในบริเวณไม่มีแท่นที่บูชาพระ มุมหนึ่งในบริเวณนั้น
มี ไหวางเรียงอยู่หลายใบ ไหทุกใบมีฟองเหมือนน้ำและเหมือนน้ำมันผุดขึ้นจนล้นออกมา ฟองเหล่านั้นมีสีแดงเรื่อ ๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจเลย บนผนังบ้านติดยันต์เต็มไปหมด
ดูอึมครึมน่ากลัว พระอาจารย์จี้กงบอกว่า ที่นั่นเป็นเมืองในม่านเมฆจอมปลอม เป็นถ้ำมารที่ปีศาจมารร้ายจำแลงไว้ล่อใจคนโลภหลงให้เข้าไปติดกับ ไม่นาน

นัก เธอก็เห็นพระศรีอาริย์ปลอม
ลอยลงมาจากฟากฟ้า หัวเราะร่าร้องเรียกผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรมและคนทั้งหลาย ที่ยังไม่ทันได้ไปหลบภัยในพุทธสถานที่แท้จริงว่า ให้ติดตามเรามา เจ้าจะหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้
อีกทั้งแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ให้แสงสีม่วง ห่อหุ้มพวกคน ให้พ้นจากการทำลายของฝนพิษได้

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาตะโกนเรียกผู้บำเพ็ญธรรมที่หลบภัยอยู่ในตำหนักพระ ภายใต้ครอบแสงสีม่วงให้ตามไป จะได้ยกระดับและมอบหมายตำแหน่งงานธรรมชั้นสูงให้ ใครก็ตามที่หลงเชื่อ
ตาม ไปในครั้งนี้ ก็จะไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป โดยแท้จริงแล้ว คนที่เข้าพุทธสถานแล้ว ภัยพิบัติมิอาจเข้ามาทำลายได้เลย เมื่อถึงเวลานั้นคนที่บำเพ็ญธรรมจงพึงระวังตัวให้รอบคอบทีเดียว



*ภาพ เมื่อโลกถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลาย*

ในหนังสือ “ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาส ” ศุภนิมิตถอดความไว้ว่า:- เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2531 เวลา 17.10 น. เด็กหญิง “เทียนไฉ” ถอดจิตออกจากร่างติดตาม
พระอรหันต์จี้กงขึ้นไปเหนือเมฆ มองดูภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าสภาพอันน่าเวทนาเมื่อเวลาระเบิด นิวเคลียร์ระเบิดขึ้น มีดังนี้

ระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่ง ได้ยิงไปตกลงยังเมือง ๆ หนึ่ง หัวระเบิดได้ระเบิดขึ้นกลางอากาศเกิดเปลวไฟและแสงสว่างอันแรงกล้า แล้วทันใดนั้นมันก็ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ทั้งหมด
ชั่วพริบตา พร้อมกับเสียงดังกัมปนาทและแรงสะเทือนอย่างรุนแรงจากระเบิด ความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทันที คนและสัตว์ทั้งหลายบาดเจ็บและล้มตายลงนับจำนวนไม่ถ้วน
ทุกหนทุกแห่งเห็น แต่ภาพน่าอนาถ กลุ่มควันที่เหมือนเมฆสีดำรูปดอกเห็ด ขยายตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำมืด และมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ อากาศในขณะนั้นให้ความรู้สึกอึดอัด
เหมือนกำลังจะขาดใจตาย บริเวณที่ได้รับความเสียหายกว้างไกลออกไปถึงร้อยกว่ากิโลเมตร

ส่วน กัมมันตภาพรังสีนั้น ครอบคลุมไปไกลถึงหลายร้อยกิโลเมตร คนที่ไม่ตายด้วยไฟและแสงหรือจากแรงระเบิด ก็วิ่งพล่านกระเจิดกระเจิงไป เสียงเรียกพ่อ เรียกแม่ กรีดร้องก้องฟ้า
เป็นที่น่าเวทนา หาที่เปรียบไม่ได้เลย ทันใดนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็เคลื่อนไหวม้วนตัวอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีแดงเรื่อ ๆ เป็นสีแดงคล้ำแล้วกลับกลายเป็นสีเทาขาว แล้วในทันใด
ก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำ และดำมืด

ถึงตอนนั้นแม้จะชู มือขึ้นตรงหน้า ก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าได้ คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ากัน ก็มองไม่เห็นกัน พระอาจารย์จี้กงตรัสไว้ว่านั่นคือ “ เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน ” อันยาวนานที่รัตติกาลมา
สู่โลก เวลาอันน่าสะพรึงกลัวกำลังเริ่มแล้ว ณ บัดนี้



*วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมงโดยประมาณ*

พระ อาจารย์จี้กงพาหนูน้อยเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป:- แม้จะผ่านช่วงสี่สิบเก้าวันอันยาวนานและน่าสะพรึงกลัวไปได้แล้วก็ตาม แต่โลกก็ยังตกอยู่ในความมืดมิด ต่อมาจึงค่อย ๆ
สว่างขึ้นทีละน้อย เห็นศพเกลื่อนกลาดกองพะเนิน มีแต่หัวขาด แขนขาด ขาขาด หรือตัวขาดเป็นท่อน จนแทบไม่มีศพเต็มร่างเลยโลหิตสีดำคล้ำนองไหลมารวมกัน จนเหมือนแม่น้ำเลือดกลิ่น
เหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วจนอยากอาเจียน พูดได้ว่ามันคือนรกในเมืองมนุษย์จริง ๆ ไม่นานต่อมา แสงสีม่วงที่ครอบพุทธสถานก็ค่อย ๆ จางไป ญาติธรรมทั้งหลายพากันออกมาภายนอกได้แล้ว
โลกทั้งโลกเงียบสงัด สัตว์ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้มีเพียงประเภทเดียว คือสัตว์ที่กินหญ้าหรือกินพืชผักเป็นอาหาร คือ กระต่าย แกะ วัว ควาย และม้าเท่านั้น จากนี้คือความทุกข์ยากหลังจากวันเกิดมหันตภัย



*วัน ที่ห้าสิบถึงเจ็ดสิบ*

คนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจมาก่อน ยากที่จะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เพราะทุกหนแห่งในโลกล้วนอาบไปด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสี พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีอะไรเหลือเลย ผู้ที่ทนต่อความอดอยากไม่ได้
ผู้ ที่กินเจเฉพาะวันหรือไม่ได้กินเจ แต่โชคดีที่รอดพ้นสี่สิบเก้าคืนมาได้ ภายในร่างกายของเขายังมีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ อีกทั้งอารมณ์โหดจะเกิดขึ้น พวกคนเหล่านั้นจะฉีกเนื้อกระต่าย แกะ วัว
ควาย หรือม้ากินดิบ ๆ ได้ แต่ไม่นานต่อมาเขาก็จะต้องตายเพราะสารพิษ พระอาจารย์จี้กงได้โปรดเมตตาบอกว่า มีแต่คนที่กินเจเท่านั้นที่จะอยู่รอดจากความอดอยาก หลังจากภัยพิบัติใหญ่แล้วจริง ๆ



*วันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง พระอาจารย์จี้กงได้โปรดนำหนูเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป*

ขณะ นั้นท้องฟ้าสว่างแล้ว ทุกสิ่งบนพื้นโลกมีแต่ซากที่ถูกทำลายล้าง แผ่นดินที่แยกออกปิดเข้าหากันแล้ว เหลือแต่รอยแยกเป็นทาง ๆ แม่น้ำเลือดที่ไหลนองก็แห้งลงและซึมลงไปในดิน ทุกอย่าง
ที่เห็นมีแต่สิ่ง ที่น่าสะอิดสะเอียน น่าสมเพชเวทนา และน่าอนาถใจ คนถือศีลกินเจทั้งหลาย เริ่มจะลงมือเก็บฝังหรือเผาซากศพกันอย่างเป็นงานเป็นการ เมื่อหิวกระหายก็เพียงแต่ใช้นิ้วจุ่มน้ำทิพย์
ที่บูชาแตะลงที่ปลายลิ้น แล้วคนเหล่านั้นก็ประทังชีวิตอยู่กันต่อไปได้อย่างไม่เดือดร้อน คนที่ยังไม่เคยกินเจตลอดเสมอมา จะไม่กล้าเดินออกไปนอกตำหนักพระเลยแม้สักก้าวเดียว



*วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง หนูน้อยเอี้ยนอี๋ก็ติดตามพระอาจารย์จี้กงไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยค ฉากสุดท้ายต่อไป*

ขณะนั้น ทั้งการเก็บฝังและเก็บเผาซากศพจะแล้วเสร็จไปส่วนเสียส่วนใหญ่ แสงสีม่วงนอกจากจะปกป้องรอบ ๆ อาณาบริเวณพุทธสถานแล้ว ยังรวมทั้งต้นไม้ใบหญ้า และสิ่งปลูกสร้างในวงรอบ
รัศมีอีกด้วย ส่วนรอบนอกนั้นราพณาสูรไม่เหลืออะไรเลย ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดถูกทำลายหมดสิ้น และใช้การอะไรไม่ได้อีกเลย

จาก นั้นฟ้าดินก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของธรรมชาติตามปรกติ ตะวัน เดือน ออกมาส่องแสงเช่นเดิม มีลม มีฝน แม่น้ำลำคลองก็เต็มไปด้วยน้ำใสไหลล่อง ผู้คนเริ่มสร้างบ้านเรือนเป็นที่พักอาศัย
หลบฝน และเริ่มงานทำไร่ไถนากันอย่างขะมักเขม้น เช้าก็ออกไปทำนา เย็นก็กลับมาบ้าน ชีวิตแม้จะไม่ว่างทางแรงกายแต่ก็มั่นคงเป็นสุขใจ ผู้คนต่างอยู่ร่วมกันด้วยอัธยาศัยไมตรี ช่วยเหลือซึ่งกัน
และกัน ไม่มีการวิวาทบาดหมาง แย่งชิง โลกทั้งโลกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของชีวิต และเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามเหมือนโลกใหม่โดยแท้
อ้างอิง::http://www.facebook.com/note.php?note_id=199840703379585#!/note.php?note_id=118705664826423

คำเตือนจาก ปู่อินทร์ตาทิพย์ อายุ 109 ปี ณ เขาตำแย (เตือนเมื่อ 2553) ปู่บอกว่าภัยพิบัติจะเกิดตามหนังสือพุทธทำนายไว้จะแรงบ้างหรือเบาบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าครูบาอาจารย์ได้ช่วยไว้หรือไม่ แต่ปลายปี 2555 ต่อเนื่องปี 2556 เหตุการณ์จะรุนแรงมาก ด้วยเหตุ3อย่างหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ประการแรก บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ หาก..... ละสังขาร ประการสอง พายุจะถล่มเมืองไทย และที่อื่นๆ ประการสามน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในโลก หลายๆประเทศจะต้องเกิดเหมือนกัน จะรุนแรงไปเรื่อยๆ ผู้คนจะตายมากเป็นประวัติการณ์ ผู้คนจะเหลือแค่ 30%ของประชากรที่นั้นๆ ปัจจุบันนี้ผู้คนไม่มีศีลธรรม ไม่ละอายแก่บาป เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กรรมของใครๆ แต่นี่คือวัฎรจักรของโลก บ้านเมืองเจริญขึ้น แต่จิตใจมนุษย์เจริญลง ยิ่งการสมสู่มนุษย์ต่อกันเดียวนี้ไม่มีเลือกผัวเลือกเมียหรือลูกหลาน นี่แหละกลียุคตามคำทำนายขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธโคดม เหตุดังกล่าวจะเบาลงและสิ้นสุดปี2560 ผู้คนที่รอดพ้นจากภัยพิภัยคือผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม กตัญญูต่อบิดามารดา ละอายแก่บาป จงเป็นผู้รู้ในกิเลส และผู้ตื่นจากกิเลส สุดท้ายก็ไกลจากกิเลส อ้างอิง http://board.palungjit.com/f178/ภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดปี2555ต่อปี 2556-223319.htmlภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดปี 2555 ต่อปี 2556 (โดย ปู่อินทร์ตาทิพย์ อายุ 109 ปี)

คำเตือนจาก ปู่อินทร์ตาทิพย์ อายุ 109 ปี ณ เขาตำแย (เตือนเมื่อ 2553)

ปู่บอกว่าภัยพิบัติจะเกิดตามหนังสือพุทธทำนายไว้จะแรงบ้างหรือเบาบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าครูบาอาจารย์ได้ช่วยไว้หรือไม่ แต่ปลายปี 2555 ต่อเนื่องปี 2556 เหตุการณ์จะรุนแรงมาก ด้วยเหตุ3อย่างหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง

ประการแรก บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ หาก..... ละสังขาร ประการสอง พายุจะถล่มเมืองไทย และที่อื่นๆ ประการสามน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในโลก หลายๆประเทศจะต้องเกิดเหมือนกัน จะรุนแรงไปเรื่อยๆ ผู้คนจะตายมากเป็นประวัติการณ์ ผู้คนจะเหลือแค่ 30%ของประชากรที่นั้นๆ

ปัจจุบันนี้ผู้คนไม่มีศีลธรรม ไม่ละอายแก่บาป เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กรรมของใครๆ แต่นี่คือวัฎรจักรของโลก บ้านเมืองเจริญขึ้น แต่จิตใจมนุษย์เจริญลง ยิ่งการสมสู่มนุษย์ต่อกันเดียวนี้ไม่มีเลือกผัวเลือกเมียหรือลูกหลาน นี่แหละกลียุคตามคำทำนายขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธโคดม

เหตุดังกล่าวจะเบาลงและสิ้นสุดปี2560 ผู้คนที่รอดพ้นจากภัยพิภัยคือผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม กตัญญูต่อบิดามารดา ละอายแก่บาป จงเป็นผู้รู้ในกิเลส และผู้ตื่นจากกิเลส สุดท้ายก็ไกลจากกิเลส



อ้างอิง http://board.palungjit.com/f178/ภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดปี2555ต่อปี 2556-223319.html

คำพยากรณ์โลก การชำระล้างโลกของพระบิดา

กระบวนการทางเทคนิคของพระบิดาต่อไปนี้ จะเปิดเผยเฉพาะบางส่วนที่มนุษย์ควรรู้เท่านั้น เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้เป็นข้อพิสูจน์ ว่าความรู้ทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนเป็นพระเมตตาที่พระบิดาประทานมาให้เผยแพร่ มิใช่เป็นการกระทำขึ้นมาเองของมนุษย์ที่อวดอุตริจริงแท้หรือไม่ หากทุกอย่างเป็นความจริงตามที่เผยให้รู้ไว้ล่วงหน้านี้ ย่อมจะเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าองค์จิตจักรวาล ผู้เป็นพระบิดาหรือพระผู้สร้างหรือว่าพระเจ้าล้วนมีจริงเป็นแน่แท้ แต่จะมีใครสักกี่คนกันเล่า ที่จะมีโอกาสข้ามผ่านกลียุคครั้งที่ 4 นี้ไปได้เพื่อถึงวันเวลาแห่งการพิสูจน์นั้น?


ขึ้นตอนโดยสังเขปทางเทคนิคของพระบิดา

1. ก่อนวันชำระครั้งใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น 15 วัน แกนหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลก ที่ทำมุมกันแนวดิ่งอยู่ 23.5 องศานั้น จะ
ถูกกำหนดให้มันค่อย ๆ ขยับตัวเพื่อเบี่ยงเบนไปจากแนวเดิมเรื่อย ๆ จะทำให้ขั้วโลกเหนือก้มหัวลงหันเข้าหาดวงอาทิตย์มาก
ขึ้น


2. น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น จากกรณีที่เกิดขึ้นในข้อแรก ทำให้น้ำแข็งละลายกลืนกับน้ำในมหาสมุทรอย่าง
รวดเร็ว


3. เมื่อโลกเอียงในลักษณะก้มหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำจากขั้วโลกก็จะพากันไหลหลั่งลงสู่เบื้องล่างเป็นคลื่นน้ำระลอกใหญ่ ในอันที่
จะนำไปสู่คลื่นยักษ์ถาโถมแผ่นดิน และบริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่จะกลืนแผ่นดินต่อไป


4. ขณะเดียวกันก็จะกำหนดให้เกิดการสั่นสะเทือนใต้มหาสมุทรบริเวณขั้วโลกใต้ เพื่อกระเทาะเอาก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ให้
หลุดออก เพื่อใช้เป็นมวลในการถ่วงดุลด้านน้ำหนักมวลระหว่างขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ในกระบวนการทางเทคนิคที่จะ
กล่าวถึงในข้อ 5 และ 6 เป็นลำดับต่อไปนั่นเอง


5. เมื่อครบ 15 วันตามกำหนดที่จะชำระความครั้งใหญ่แล้ว แกนหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลกจะเบี่ยงเบนไปจากเดิม
8.5 องศา หรืออยู่ที่ 32 องศากับแนวดิ่งแล้ว ตรงพิกัดตำแหน่งนี้จะเป็นกำหนดเวลาที่ส่วนโค้งของโลก จะเริ่มบดบังแสงสว่าง
จากดวงอาทิตย์ได้อย่างเหมาะเจาะพอดีอีกต่างหากด้วย ดังนั้นวันแรกแห่งการชำระความในกรณีชำระโลกครั้งใหญ่ ที่มนุษย์จะ
สังเกตมายาได้ก็คือ ฟ้าจะเริ่มมืดสลัวลง ผิดปรกติ


6. ดาวเคราะห์โลกจะค่อย ๆ ม้วนตัวก้มหัวเอาขั้วโลกเหนือ คว่ำลงแทนที่ตำแหน่งขั้วโลกใต้อย่างช้า ๆ โดยมีน้ำหนักจากขั้ว
โลกเหนือที่ไหลลงสู่ด้านล่าง และก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ทางด้านขั้วโลกใต้ช่วยส่งเสริม กระบวนการทางเทคนิคนี้ให้แนบเนียน
กลมกลืนยิ่งขึ้น เมื่อขั้วโลกเหนือย้ายตนเองไปสู่ขั้วโลกใต้แล้วก็จะค่อย ๆ พลิกม้วนตัวขึ้นเพื่อย้อนคืนสู่ตำแหน่งเดิมของตน
ต่อไป โดยไม่ย้อนรอยเดิม แนวแกนหมุนรอบตัวเองตำแหน่งใหม่ในยุคพลังงานใหม่ก็คือ 22 องศากับแนวดิ่ง เพื่อสร้างฤดูกาล
ใหม่ที่สมดุลให้กับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่แห่งโลกเสรี ระยะเวลาที่โลกม้วนตัวตีลังกาครบ 1 รอบ จะใช้เวลาดำเนินการทั้งสิ้น 30 วัน!


7. คำกล่าวที่ว่า "น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว" จะเกิดขึ้นภายใน 7 ราตรี คือ 49 วันอันมีแต่กลางคืนนั่นเอง หมายความว่าทุก
สิ่งทุกอย่างจะจมอยู่ใต้บาดาล ผู้ที่อยู่ใต้น้ำย่อมมองเห็นเหมือนน้ำท่วมท้องฟ้าและปลาจะแหวกว่ายอยู่ไปมา ทำให้คนที่จมอยู่ใต้
น้ำแลประหนึ่งว่า ปลาจะกินดาวนั่นเอง


8. ตึกสูงใหญ่ วัตถุเทคโนโลยีขยะ มนุษย์ขยะ สัตว์ประจำโลก ต้นไม้ใหญ่น้อย ภูเขาสูงชันและอื่น ๆ จะถูกชำระออกไปจาก
ระบบ เพื่อลดจำนวนและน้ำหนักมวลบนพื้นผิวโลกให้น้อยลง เพื่อสร้างสมดุลใหม่ให้กับดาวเคราะห์ดวงนี้


9. สัตว์ประจำโลกบางชนิดจะสูญพันธุ์ เพราะพวกเขาหมดหน้าที่แล้ว โดยพระบิดาจะเรียกนำจิตวิญญาณพวกเขาทั้งหมด
กลับคืน คือ กระต่าย และ หนู


10. เมื่อครบ 49 วันหรือ 7 ราตรีแล้ว พระบิดาจะใช้น้ำฝนดั่งน้ำทิพย์ที่บริสุทธิ์ของพระองค์หลั่งลงมาเพื่อเก็บกวาดชำระล้างเศษ
ซากทุกสิ่ง และชุบชีวิตให้กับจิตวิญญาณบุตรที่รักดีที่เหลือรอด


ขั้นตอนการชำระความโดยสังเขป:
1. ให้มีการ ชำระความ ก่อนวันชำระใหญ่ได้เรื่อย ๆ นับแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา
2. การชำระความ กระทำโดยกลุ่มของช่างเทคนิค ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นในสนาม
พลังงานดาวเคราะห์โลก จำนวน 20 เท่าของประชากรโลกที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน โดยเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ในประเทศใดก็
จะทำหน้าที่เป็นช่างเทคนิคเพื่อชำระความกับมนุษย์ในประเทศนั้น
3. การชำระความของเจ้ากรรมนายเวรผู้เป็นช่างเทคนิค หมายถึง การแก้แค้นเอาคืนอย่างสาสมกับมนุษย์ที่เคยก่อกรรมด้าน
ลบต่อพวกเขามาก่อน
4. เจ้ากรรมนายเวร หมายถึง พี่ ๆ น้อง ๆ ของมนุษย์ในภพชาติปัจจุบันนี้เอง ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการจองจำด้วย
ความอาฆาต โกรธแค้นต่อมนุษย์ปัจจุบันที่เคยกระทำผิดคิดร้ายต่อพวกเขา โดยพวกเขาไม่ยอมไปผุดเกิดยังภพภูมิใด ๆ ได้แต่
รอคอยโอกาสเพื่อติดตามแก้แค้นทวงคืนอยู่อย่างเดียว บางรูปธรรมได้จองจำมนุษย์ไว้นานร่วมสองหมื่นปีมาแล้วก็มี
5. เจ้ากรรมนายเวร หมายถึง รูปธรรมทางพลังงานจิตวิญญาณของผู้ที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ หรือ สัตว์ประจำโลก ที่เคยถูกมนุษย์
ทำร้ายให้ทุกข์ทรมานอย่างทารุณ ด้วยการเข่นฆ่าเอาชีวิต และกินเลือดกินเนื้อพวกเขาอย่างเมามัน เช่น หมู เป็ด ไก่ ห่าน วัว
ควาย และอื่น ๆ เป็นต้น
6. วิธีการชำระความก็คือ การอยู่เบื้องหลังภัยธรรมชาติที่รุนแรง เพื่อจัดการกับมนุษย์ผู้เป็นบุคคลเป้าหมายที่จะเอาความของ
พวกตนเช่น การโอบอุ้มน้ำฝนไปถล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อก่อให้เกิดอุทกภัยที่รุนแรงต่อมนุษย์ในเป้าหมายชำระของพวกตน การ
ร่วมกันทำให้เกิดฟ้าฝ่าบุคคลเป้าหมาย การทำให้เกิดลมพายุพัดถล่มซ้ำ การทำให้เกิดคลื่นยักษ์ การทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ด้วยการใช้เสียงดังของฟ้าฝ่าในระดับ 30 เดซิเบลขึ้นไปเพื่อเป็นเงื่อนไขให้เกิดการสั่นสะเทือนนั้น การผลักเคลื่อนตัวของรอย
แยกของเปลือกโลกอันเกิดจากการระเบิดในใจกลางโลก การสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่รุนแรง และการระเบิดของภูเขาไฟ
ในสถานที่ ๆ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
7. ชำระความด้วยเสียงอันดัง เพื่อทำลายประสาทหูและใช้พลังงานด้านลบที่เข้มข้น เพื่อทำลายสติและเอาชีวิตมนุษย์เป้าหมาย
นั้นในฉับพลัน
8. ชำระความมนุษย์ด้วยโรคระบาดร้าย ๆ ที่มากับน้ำเน่าเสีย เช่น อหิวาตกโรคชนิดใหม่ที่มนุษย์ต้องตายภายใน 6 วันหลังการ
ได้รับเชื้อนั้น หรือภัยร้ายจากเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ชื่อ Virusteria ที่มนุษย์โลกไม่เคยรู้จักซึ่งสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วกว่า
เชื้อโรคชนิดใด ๆ บนโลกใบนี้
9. ชำระความด้วยความอดอยากหิวโหย ไม่มีที่อยู่ ไม่มีน้ำดื่ม ไม่มีอาหารบริโภค เพราะน้ำท่วมเสียหายหมด และไม่มีใคร
ช่วยเหลือใครได้เพราะต่างต้องประสบเคราะห์กรรมโดยทั่วหน้ากัน
10. ช่วงเวลาแห่งการชำระความครั้งใหญ่ จะใช้เวลานานถึง 7 ราตรี โดยที่ 1 ราตรี หมายถึง การที่โลกจะปกคลุมไปด้วยความ
มืดมิดคือ มีแต่กลางคืนติดต่อกัน 7 วันเต็ม ๆ ขณะที่ภัยธรรมชาติที่วิปริตแปรปรวนอันเกิดจากน้ำมือของช่างเทคนิค เป็น
ผู้กระทำอยู่เบื้องหลังจะรุกกระหน่ำเอาความกับมนุษย์อย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้จะปิดตาก็แลเห็นจะปิดหูก็ได้ยิน ทั่วทั้งแผ่นดินจะ
เจิ่งนองไปด้วยน้ำ บอบช้ำไปด้วยพายุถล่ม แผ่นดินถล่ม และตึกสูงใหญ่ที่ถล่มทลายลงมากองเป็นภูเขาเลากา ท่ามกลางเสียง
หวีดกรีดร้องของมนุษย์กับเจ้ากรรมนายเวร ประสานเสียงกันอย่างบาดหัวใจ
11. แผ่นดินบางแห่งจะลุกเป็นไฟ เพราะแสงเพลิงและสายธารของลาวาจากใต้โลก บางแห่งจะยุบตัวลงกลืนเมืองลงไปทั้งเมือง
แล้วราดทับด้วยเปลวถ่านร้อน ๆ ของลาวาอย่างน่าพรั่นพรึง
12. แผ่นดินจำนวนมากจะถูกกลืนหายไปใต้แผ่นน้ำ และมหาสมุทรอย่างถาวร เพราะคลื่นยักษ์ แผ่นดินไหว และแรงดูดดึงจาก
ใต้สมุทรจนทำให้เกาะน้อยใหญ่ไม่แตกกระจาย ก็จะจมหายลงไปใต้ผืนทะเลตลอดกาล


หมายเหตุ
ที่วัดพระนอน เมืองแพร่มีการค้นพบคัมภีร์ภาษาโบราณชุดหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าได้เขียนไว้ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2
( พ.ศ. 2310) เมื่อนำมาแปลโดยพระครูนิภัทร กิจอาทร ปรากฎว่าเป็นเรื่องของคำทำนายชะตาของโลก ตรงกับเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นในปัจจุบันและตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส มีใจความบางตอนดังนี้:


"น้ำจะท่วมฟ้า"  "ปลาจะกินดาว"


"มนุษย์จะรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ จะเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น มนุษย์จะสามารถ ขี่ลม ไปได้ในพื้นที่และอากาศมีรอยเหมือนงู ในที่ต่ำจะ
ถูกถมให้สูง ในที่สูงจะถูกขุดแผ่นดินให้ราบเรียบ"


"ชนชาติผิวขาวจะย่นย่อระยะทางให้สั้นเข้า โลกจะเล็กลง คนพูดทางไกล แสนไกลจะได้เห็นหน้ากันและกัน โลกจะมีตาทิพย์หู
ทิพย์ เสียงทิพย์ บนท้องฟ้าจะมี ลูกไฟ พุ่งเข้าหากันผู้คนจะพกพา อสรพิษติดกายไว้ต่อสู้ เพราะ อวิชชา"


"โจรผู้ร้ายตา 2 ชั้นจะนำพิษมาทำลายโลกมนุษย์ ผู้หญิงจะกลายเป็นผู้ชาย ผู้ชายจะกลายเป็น ผู้หญิง" 

ความลับเรื่องภัยพิบัติของอนาคต ได้ถูกเปิดเผยโดย 5 นักวิชาการ และนักวิทยาศาสตร์

ความลับเรื่องภัยพิบัติของอนาคต ได้ถูกเปิดเผยโดย 5 นักวิชาการ และนักวิทยาศาสตร์


สัมภาษณ์พิเศษ: อาจารย์ปริญญา ตันสกุล
อาจารย์ปริญญาตันสกุล วิทยาการอำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลิกภาพมนุษย์

“อาจารย์บอกว่า สาส์นจิตจักรวาลเตือนวันช้าระโลกประเทศไทยเราด้าม
ขวานจะหักเป็นสาม ท่อนที่ว่าหักคือจมทะเลไปหมดเลย หลายคนก็บอก
เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเกิดหรอกเหมือนที่ว่ากรุงเทพเนี่ย ไม่เกิดแผ่นดินไหว
หรอกผม บอกว่าเกิด! ขนาดเมืองกาญจน์แผ่นดินไหวตั้ง7 ริกเตอร์
กรุงเทพฯก็ เตรียมตัวอันตรายได้แล้วนี่ผมพูดในฐานะของนักวิทยาศาสตร์
ทางจิตนะ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทางโลกไม่ได้พูดทางวิทยาศาสตร์ทาง
กายภาพ


โดย เหตุการณ์จะเกิดจากต้นเหตุส้าคัญคือแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิดอัน
เนื่อง มาจากแผ่นทวีปของเปลือกโลกเคลื่อนโดยสภาพการเปลี่ยนแปลงจะ
เป็นไปใน แต่ละพื้นที่ คือภาคใต้ตรงบริเวณด้ามขวานจะเป็นพื้นดินยาวลง
มาถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ คือส่วนที่ 1ต่อมาส่วนที่ 2 เป็นเกาะใหญ่อยู่ตรง
กลาง และส่วนที่ 3 คือที่ติดกับประเทศมาเลเซีย โดยจะมีทะเลกันหมดทั้ง 3
ส่วน เกาะภูเก็ต เกาะสมุย และเกาะน้อยใหญ่จะหายไปหมดแต่ละจังหวัด
เหลือ พื้นที่เพียงน้อยนิดประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาวเวียดนามกัมพูชาก็
จะจม อยู่ใต้ทะเลส่วนพม่าตอนล่างหายไป จังหวัดทางภาคตะวันตกของ
ไทยกลาย เป็นชายทะเลภาคเหนือจะมีแม่น้ำสายใหม่เกิดขึ้นพื้นที่ของไทย
ประมาณ 20% จมทะเล"



พ.ธรรมรังสี

ท่าน ได้เล่าให้ฟังว่าภัยภิบัติที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วนั้น ท่านเองก็ทราบมาก่อนเหมือนกัน
และมันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้วจริงๆ
แต่ ที่ท่านบอกว่าท่านอกสั่นขวัญแขวนก็คือ ภัยภิบัติที่ก้าลังจะมาถึงในอนาคตนี้
ต่าง หากหละ ท่านบอกว่าท่านเห็นลูกไฟมากมายตกลงมาจากท้องฟ้า เป็นห่าลูกไฟห่า
ใหญ่ ท่านก็พาคนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้าไปหลบในถ้้าได้อย่างปลอดภัยส่วนคนที่วิ่งหนี
กระเจิด กระเจิงเข้าป่าไปนั้นก็ถูกลูกไฟตกใส่ เผาไหม้ร้องโอดโอยทั้งคนทั้งป่าไหม้
หมด เลย

ก่อนเกิดเหตุจะมีบรรยากาศเงียบงัน วังเวง หดหู่เวิ้งว้าง 
มนุษย์จะเห็นเหตุการณ์ประหลาดจะมีอยู่วันหนึ่งที่ เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่สุด
คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายัง โลกเป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุ
สุริยะ มนุษย์ทุกคนบนโลกจะได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว
บรรยากาศช่วง แรกๆจะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกล
หลังจากนั้นไม่นาน นักลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้าเสียงลม 
จะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด
ตั้งแต่ เกิดมาจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต



นาย ไมเคิล กอร์ดอน สแกลอน

นายคนนี้แกเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist)มีญาณทัศนะ(SpiritualVisionary)คือ
มองเห็นอนาคตด้วยญาณมี ความแม่นย้ามาก(ตามที่ Websiteของแกกล่าวอ้าง) จบ
การศึกษาท่างด้านอิ เลคทรอนิคส์(ไม่ได้บอกว่าระดับไหน) ในปี 1979เคยเกือบตายมา
แล้วแต่ กลับฝื้นขึ้นมาได้ในทีหลัง จากนั้นก็พบว่าได้รับพรสวรรค์ในเรื่องของการหยั่งรู้
อนาคต โดยสิ่งที่เขาท้านายถูกต้องก็ได้แก่
1. เหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหวใน ลอสแองเจอริส แคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 22เมษายน
2535

 2. แผ่นดินไหวใน แลนเดอร์ส(Landers) และ บิกเบียร์ (Bigbear) แคลิฟอร์เนีย เมื่อ
17มกราคม 2537

3. แผ่นดินไหวที่เมืองโกเบประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17มกราคม 2538เป็นต้น

 แผนที่ นี้ ภายใต้ชื่อ FutureMapOfTheWorld ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากเมื่อปี
1978 (พ.ศ. 2521) นาย Gordonได้มองเห็นภาพอนาคตของโลกเป็นครั้ง
แรกโดยก็ มองเห็นตัวเอง อยู่สูงขึ้นไปในอวกาศแล้วมองกลับลงมาบนโลก
หลังจากนั้น อีกหลายปีก็เห็นภาพเดิมอีกครั้ง ท้าให้เขาสามารถสร้าง แผนที่
โลกใน อนาคตขึ้นมาและพิมพ์ในปี พ.ศ.2525 โดยนาย Grodonเชื่อว่า
เหตุการณ์จะ เกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 (พ.ศ.2541-พ.ศ.2555)


ศ.ดร.นพ .เทพนม เมืองแมน 

ท่านบอกว่า.....
ในที่สุดประเทศไทยจะ กลับไปสู่สภาพเดิมเหมือนแต่ก่อนคือ
แผ่นดินเหลือ 3 แห่งที่เหลือจะกลับไปอยู่ใต้น้ำทะเลทั้งสิ้น!!!.....ตรงไหน
จังหวัด อำเภอใดจะเหลืออยู่บ้างไม่จมน้ำหายไปก็ดูเอาเองใน 5 ส่วนเหลือ
3 ส่วนตรงส่วนบน-กลาง-และล่างสุด ส่วนที่หายไปคือ ภาคกลางเกือบ
ทั้งหมด รวมทั้งกรุงเทพและปริมณฑล และภาคใต้ตอนล่าง
และเหตุการณ์จะเกิดขึ้น 5-7 ปี ข้างหน้า



แถมอีกนิดจากคนที่อ้างว่า เคยถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป

ที่นั่นมนุษย์ต่างดาวให้เขาดูจอ ภาพ อันเป็นภาพเกี่ยวกับโลก ระบบสุริยะ
และกาแล็คซี่ของเรามนุษย์ต่าง ดาวบอกว่าในวันที่ 22 ธันวาคม 2012
( พ.ศ. 2555 ) จะเกิดปรากฎการณ์ในอวกาศครั้งใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบไป
ทั้งจักรวาล ในวันนั้นแกแล็คซี่จะส่งแสงวาบเจิดจ้าออกมาก ดวงอาทิตย์ทุก
ดวงใน แกแล็คซี่ จะสะท้อนแสงนั้นไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัวมัน
สิ่งมี ชีวิตทั้งมวลอันมีดวงตาจะได้เห็นแสงเจิดจ้านี้ทั่วหน้ากันโลกของเรา
จะ ปั่นป่วนด้วยพายุสุริยะทั้งแสงอาทิตย์ก็จะร้อนจัดขึ้น


คำ ทำนายของมนุษย์ต่างดาวที่ว่าจะเกิดอาเพศขึ้นทั่วทั้งจักรวาลในวันนั้น
จะ เป็นจริงหรือไม่ แต่น่าแปลกที่ว่าวันที่ 22 ธันวาคม 2012 นั้น เป็นวัน
สุด ท้ายในปฏิทินของชาวมายันอีกด้วย


วิธีสังเกตสิ่งแวด ล้อมก่อนเกิดภัยพิบัติ

- จะไม่มีนกในท้องฟ้า
- สัตว์สี่เท้าจะนอนน้ำตาไหล หรือสัตว์เลี้ยงจะมีอาการกระวนกระวายผิดปกติ
- บรรยากาศจะวังเวงผิดปกติ
- จะมีลางบอกเหตุอื่นๆ



วิธี ปฏิบัติตนเมื่อเกิดภัยพิบัติ

- อย่าตื่นเต้นตกใจกลัวทำจิตใจให้เข้มแข็งหนักแน่นหาที่หลบภัยที่มั่นคง
- เตรียมอาหารยาเครื่องนุ่งห่มสำหรับครอบครัวสำหรับช่วงเวลาสองเดือนที่เกิด ภัยพิบัติ
- สวดมนต์ ให้จิตใจเข้มแข็งและมีสมาธิ
- ห้ามเปิดประตูรับไครที่มาเคาะประตู
- เตรียมอาวุธไว้ป้องกันตนเองเช่นปืนหรือ อาวุธต่อสู้ระยะประชิดต่างๆ
- เตรียมแสงสว่างเช่นเทียนไขน้ำมัน ไม้ขีดไฟ


 วิธี ปฏิบัติตนเมื่อเกิดภัยพิบัติ

- มีวัตถุมงคลที่เคารพนับถือติดตัวเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ
- อย่าแช่น้ำและสิ่งที่จะนำมาทำอาหารต้องล้างด้วยด่างทับทิมก่อน
- สมควรมีหน้ากากกันพิษและเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว
- อย่าอยากรู้อยากเห็น แม้ได้ยินเสียงต่างๆก็ไม่ต้องตอบ

 อ้างอิง::ความลับของอนาคต ได้ถูกเปิดเผย

พระผู้มี "อภิญญา" ท่านฝากเตือนมาว่า เวลาของโลกมนุษย์เหลือน้อยแล้ว (ก่อน พ.ศ. 2560)

พระผู้มี "อภิญญา" มีฤทธิ์มาก ท่านฝากเตือนมาว่า เวลาของโลกมนุษย์เหลือน้อยแล้ว (ก่อน พ.ศ. 2560)

พระ ผู้มีอภิญญาฤทธิ์ ลูกศิษย์เรียกท่านว่า "หลวงปู่ประเสริฐ"

"หลวง ปู่ประเสริฐ" ท่านมีอภิญญาสูง มีฤทธิ์มาก เมย์เห็นมากับตาหลายครั้ง และลูกศิษย์ ก็เห็นมาหลายคน ใครเคยประสบด้วยตนเอง ช่วยมาโพสต์ในนี้ให้เพื่อนๆอ่านด้วยค่ะ (แต่วันนี้เมย์จะไม่เล่าเรื่อง อภิญญา ของหลวงปู่ เพราะมันเยอะ พิมพ์ไม่ไหว) แต่เมย์จะเล่าเรื่อง วาระสุดท้ายของโลกมนุษย์ค่ะ

เมย์ ไปพบท่านเมื่อไม่นานมานี้เอง ไปกับกลุ่มของเพื่อนคุณพ่อค่ะ วันนั้นไปกันราว 10 คน พวกเรานั่งรถตู้ของเพื่อนคุณพ่อเมย์ นั่งรถตู้จากกรุงเทพ 8.00 น. กว่าจะถึง สำนักสงฆ์ของท่าน ก็เกือบเที่ยงอ่ะค่ะ เส้นทางวกวน เหมือนเขาวงกต เพราะสำนักสงฆ์อยู่บนเขาสูง (แถวนั้นเรียกว่า "ลำพญากลาง") สูงจากพื้นดินมากค่ะ เพราะทุกคนในรถตู้รู้สึก "หูอื้อ" ทุกคน พอไปถึงก็ยังไม่พบท่านหรอกค่ะ เพราะท่านอยู่ใน กุฏิ ด้านหลัง ซึ่งห้ามไม่ให้ใครเข้า สภาพของสำนักสงฆ์เรียบง่าย มีกุฏิ 2 หลัง, มีวิหารเล็กๆ 1 หลัง, มีโรงครัวเล็กๆ 1 หลัง, มีห้องน้ำราว 10 ห้อง ทั้งหมดมาจากเงินจากผู้บริจาค ของผู้ที่มากราบท่านทั้งสิ้น

เพราะ หลวงปู่ท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ พ.ศ. 2502 มาตั้งแต่ที่นี่ยังเป็นป่าอยู่เลย ยังไม่มีอะไรเลย มีแต่ป่าทั้งนั้น พอท่านอยู่ไปก็มี ผู้คนไปกราบไหว้ รวมคนที่ไปกราบท่านจนถึงปัจจุบันก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 100,000 คนค่ะ

แล้ว หลวงปู่ท่านก็เดินลงมา แล้วตรงมาที่กลุ่มของเมย์ หลวงปู่ท่านอายุน่าจะ 80 ปีได้ค่ะ รูปร่างสูงสง่างาม (น่าจะสูงเกิน 180 ซม.) ดูท่านใจดี ลักษณะการเดินของท่านดูสูงส่งมากค่ะ (เดินสง่างาม น่าเลื่อมใส อธิบายไม่ถูก) น้ำเสียงที่นุ่มนวล ท่านบอกกับทุกคนว่า "เอาล่ะนะ" ถึงเวลาที่ชั้นจะบอกเรื่องสำคัญล่ะนะ ทุกคนตั้งใจฟังให้ดีๆ แล้วไปเตือนผู้คน และคนอื่นๆ

ท่าน ก็เริ่มเทศนาว่า... แท้จริง ประเทศไทย และ ทุกประเทศทั่วโลก น่าจะพบกับความหายนะครั้งใหญ่ จากภัยธรรมชาติใหญ่ ซึ่งผู้คนต้องตายเกือบหมดโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 แต่ที่มันไม่เกิด ก็เพราะว่า มีพระผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หลายท่าน รวมไปถึงเทวดาผู้รักษาโลกมนุษย์ ช่วยกัน อธิษฐานจิต ให้เหตุการผ่านพ้นไปก่อน ซึ่งในความเป็นจริง มันได้แค่เลื่อนออกไปเท่านั้น ยังไงๆเหตุการณ์ภัยธรรมชาตใหญ่ิ และความหายนะครั้งใหญ่ ต้องเกิดขึ้นแน่นอน

นับ แต่เวลาี้นี้ พ.ศ. 2552 แรงอธิษฐานมันหมดกำลังลงแล้ว และจะไม่สามารถอธิษฐานเลื่อนได้อีกแล้ว ต่อจากนี้ไป ภัยธรรมชาติ และความหายนะครั้งใหญ่ จะค่อยๆปรากฏตัวเพิ่มมากขึ้นๆมากขึ้นๆ โดยเริ่มทีละน้อยจาก พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป จะค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นๆ สารพัดภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว, พายุ, ภูเขาไฟระเบิด, น้ำทะเลสูงท่วมแผ่นดิน, หมู่เกาะทั้งหมดจะจมใต้ทะเลทั้งหมด และสารพัดอย่างจะประดังเข้ามา ฯลฯ

ทุกอย่าง จะจบสิ้นก่อนปี พ.ศ. 2560 มนุษย์ที่ศีลไม่ครบ จะถูกภัยธรรมชาติใหญ่ คร่าชีวิตทั้งหมด และมนุษย์ที่รอดชีวิตนั้นมีไม่กี่คนเท่านั้น และคนที่รอดชีวิตส่วนมาก จะเสียสติไปเลย เพราะตกใจกับเหตุการณ์แบบสุดชีวิต หลวงปู่บอกว่า เอายังงี้ละกันนะ คนจะตายกันเกือบหมดโลกเลย แต่ประเทศไทยจะเหลือมากที่สุด คือรอดประมาณ 20-30 % ของประชากรไทย ไปคำนวณกันเอาเอง พูดง่ายๆ ตายเกือบหมดประเทศนั่นแหละ จะเหลือแค่คนมีศีลธรรมจริงๆเท่านั้นเอง

หลัง ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป มนุษย์ชาติจะเข้าสู่ยุคใหม่ เรียกว่ายุคศิวิไลซ์ เนื่องจากคนไทยจะเหลือมากที่สุด (20-30 %) ต่อไปประเทศไทยจะได้เป็น มหาอำนาจ และเป็นศูนย์กลางของโลก เมื่อเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ ผู้คนยุคนั้นจะเปลี่ยนทัศนะคติ ในการดำเนินชีวิตใหม่ทั้งหมด ในยุคนั้น ผู้คนจะไม่สนใจเงินทองอีกเลย แต่จะมาแข่งขันในเรื่องของการ บำเพ็ญบุญ-กุศล

ท่าน ว่าเวลาของโลกมนุษย์เหลือน้อยแล้ว เหตุการณ์มันกำลังจะมาถึงแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบๆทำ เลิกใช้ชีวิตแบบโง่เขลาเบาปัญญาเสียที สิ่งที่จะติดตัวเราไปมีเพียง บุญ-บาป เท่านั้น จำไปบอกต่อๆกันด้วยนะ ลูกหลาน ขอให้เอาชีวิตรอดให้ได้นะ ชั้นก็มีเรื่องจะบอกเท่านี้แหละนะ เจริญพร.......ทุกคนก็กราบท่าน ด้วยความกลัว ใจหวิวๆ บอกไม่ถูกค่ะ

ตอน จะกลับ เมย์ว่าจะถ่ายรูปของหลวงปู่ มาให้เพื่อนๆใน "เว็บพลังจิต" ดูซะหน่อย แต่ทางสำนักสงฆ์ ติดป้ายไว้ว่่า "ห้ามถ่ายรูป" อ่ะค่ะ ...เอาไว้เพื่อนๆลองไปกราบหลวงปู่ท่านเองละกันนะคะ เมย์บอกที่อยู่ให้แล้วอ่ะค่ะ

เมย์ขอปิดท้ายค่ะ ชาวพุทธทุกคนทราบดีว่า พุทธศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นค่ะ ประเด็นอยู่ที่ ในวันภัยพิบัติ คนที่จะรอดชีวิต ต้องมีศีลมีธรรมจริงๆเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนจะรอดค่ะ
อ้างอิง::รวมคำทำนาย ภัยพิบัติล้างโลก 2012